ในตำราได้อธิบายลักษณะโดยรวมของแก้วปทัมก่านพอสังเขปว่า เป็นอัญมณีซึ่งมีลักษณะผสมแลดูมีหลายสี โดยจำแนกประเภทของแก้วปทัมก่านไว้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ กล่าวคือ
1. แก้วมธุปทัมก่าน : คำว่า “มธุ” หมายถึง น้ำผึ้ง ดังนั้นแก้วมธุปทัมก่านจึงมีลักษณะเป็นแก้วสีน้ำผึ้งซึ่งมีมลทินแร่ลักษณะเป็นเส้นไหมประกอบอยู่ภายในแก้ว โดยเส้นไหมจะมีขนาดที่เล็กกว่าเส้นผม แต่มีสีปนกันอยู่ถึง 2 สีคือ ไหมสีแดง กับ ไหมสีเหลือง (ไหมทอง) อัดแน่นจำนวนมากอยู่ภายในแก้ว
2. แก้วสัตตรัตนะปทัมก่าน : เป็นแก้วซึ่งมีมลทินแร่ลักษณะเป็นเส้นไหมประกอบอยู่ภายในแก้วเช่นเดียวกันกับแก้วมธุปทัมก่าน เพียงแต่เส้นไหมที่ประกอบอยู่ภายในมีสีปะปนกันอยู่ถึง 3 สี ได้แก่ ไหมสีน้ำผึ้ง ไหมสีเหลือง และไหมสีขาว อัดแน่นจำนวนมากอยู่ภายในแก้ว
ในตำราวิชาแร่ (MINERALOGY) ได้จัดแก้วปทัมก่านไว้ในกลุ่มของควอซต์ชนิดไม่บริสุทธิ์ คือมีมนทิลแร่ประเภทรูไทล์ (RUTILE) เป็นเส้นขนหรือเส้นไหมประกอบอยู่ภายในแก้ว ทางด้านความเชื่อ เชื่อกันว่าแก้วปทัมก่านทั้งสองชนิดนี้ มีคุณวิเศษดีเลิศด้วยกันทั้งคู่ เพียงได้ครอบครองแก้วปทัมก่านชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็จะสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงได้ ในด้านความโดดเด่นเฉพาะตัว เชื่อกันว่าแก้วมธุปทัมก่าน มีคุณวิเศษในด้านการเข้าสังคม และสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ที่ได้ติดต่อสมาคม ซึ่งคล้าย ๆ กันกับคุณวิเศษของแก้ววิฑูรย์หรือไพฑูรย์ ส่วนแก้วสัตตรัตนะปทัมก่านนั้นเป็นแก้วที่มีคุณวิเศษเปรียบดั่งชัยมงคลทั้ง 7 ประการ (ซึ่งเป็นความเชื่อโบราณเกี่ยวกับหลักในการสร้างเมืองเชียงใหม่) คำว่า “สัตต” ในภาษาบาลีแปลว่าเจ็ด แก้วสัตตรัตนะปทัมก่านจึงเป็นแก้วที่ให้คุณในด้านคุ้มครองป้องกันภัยต่อผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแก้ว ดุจชัยมงคลทั้ง 7 ประการที่คอยปกป้องคุ้มครองเมืองเชียงใหม่จากข้าศึกศัตรู
|