ตามตำราโบราณ ได้กำหนดให้แก้ววชิระเป๊กพรหมสามหน้า จัดรวมอยู่ในกลุ่มของแก้วประเภทแก้วเผือก พร้อมทั้งได้อธิบายเจาะจงคุณลักษณะของแก้วชนิดนี้ไว้ชัดเจนว่า" แก้วเผือกลูกใดมีลักษณะสามประการ คือ มีสีขาว สีเขียว และสีเหลือง รวมอยู่ในแก้วลูกเดียวกัน ชื่อวชิระเป๊กพรหมสามหน้า ควรค่าห้าพันทองคำ "
จากข้อกำหนดตามตำราสามารถสรุปได้ว่า ลักษณะที่ถูกต้องของแก้ววชิระเป๊กพรหมสามหน้านั้น จะต้องเป็นแก้วที่มี"น้ำสี"(ซึ่งไม่ใช่มลทินแร่หรือตะกอนแร่รูปทรงต่างๆ) ปนกันอยู่ภายในแก้วลูกเดียวกันถึง 3 สี จึงจะนับเป็นแก้ววชิระเป๊กพรหมสามหน้าอย่างแท้จริง และน้ำสีที่อยู่ภายในแก้วตามที่ตำราได้กำหนดไว้ จะต้องเป็นน้ำสีขาว น้ำสีเขียว และน้ำสีเหลืองเท่านั้น (คำว่าพรหมสามหน้า คือการเปรียบเปรยน้ำสีทั้ง 3 สีดังกล่าว อุปมาดั่งฤดูกาลทั้งสามในรอบ 1 ปี คือ น้ำสีขาวใสแทนฤดูหนาว , น้ำสีเหลืองแทนฤดูร้อน , และน้ำสีเขียวแทนฤดูฝน) จากคำอธิบายซึ่งระบุไว้ในตำราพบว่า แก้วมงคลดังกล่าวชนิดนี้ มีลักษณะที่ตรงกันกับอัญมณีประเภท "พลอยตลก" (Bi-Color) ซึ่งมี 3 สีอยู่ในชิ้นเดียวกัน เช่น พลอยในกลุ่ม Sapphire และ Tourmaline เป็นต้น
ในอดีตทัวร์มาลีนเป็นที่รู้จักกันมานานแล้วในชมพูทวีป และได้รับการแพร่หลายในปี ค.ศ. 1703 โดยพ่อค้าชาวดัชท์ได้ทำการสั่งซื้อทัวร์มาลีนจากประเทศศรีลังกา ไปสู่ประเทศในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนทวีปยุโรป โดยตั้งชื่ออัญมณีชนิดนี้ว่า “ทัวร์มาลีน (TOURMALINE)” ซึ่งแผลงมาจากชื่อดั้งเดิมของมันที่เป็นภาษาสิงหลว่า “ทุรมาลี” แปลว่า หินที่มีหลายสีปนกัน ในด้านความเชื่อเชื่อกันมาแต่โบราณว่า แก้ววชิระเป๊กพรหมสามหน้านั้น มีคุณวิเศษโดดเด่นในเรื่องของเกียรติยศชื่อเสียงโดยเฉพาะสามารถดลบันดาลให้ผู้ซึ่งได้ครอบครองเป็นเจ้าของแก้ว มีอำนาจบารมีเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งปวง ดั่งที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในตำราว่า“....วชิระเป๊กพรหมสามหน้า ยศทั่วฟ้าเหลือหลาย....”
|