นับแต่โบราณคนไทยทั่วทุกภูมิภาคล้วนมีความเชื่อที่ตรงกัน เกี่ยวกับเรื่องดวงแก้ววิเศษคู่บุญบารมี ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ สามารถคุ้มครองผู้ซึ่งเป็นเจ้าของตลอดจนดลบันดาลหรือหนุนนำมาแต่สิ่งที่ดี ให้กับผู้ที่ได้ครอบครองมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งความเชื่อดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องงมงายแต่ประการใด เนื่องจากความเชื่อเกี่ยวกับแก้ววิเศษบางเรื่อง ได้รับการจดบันทึกไว้อย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ของชาติ พร้อมทั้งมีการเก็บรักษาดวงแก้ววิเศษนั้นเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันประกอบด้านวัตถุ ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับทราบความจริงเกี่ยวกับปาฏิหารย์ความศักดิ์สิทธิ์ของดวงแก้ววิเศษนั้นอีกด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอยกตัวอย่างประกอบดังนี้ ยุคที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยแผ่นดินขององค์สมเด็จพระมหาธรรมราชา ที่หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระ (ปัจจุบันเป็นอำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา) ได้มีสามีภรรยาที่ยากจนคู่หนึ่งสามีชื่อตาหู ภรรยาชื่อนางจันทร์ ได้ให้กำเนิดบุตรชายเมื่อวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พ.ศ.2125 โดยตั้งชื่อบุตรชายของตนว่า “ปู่” วันหนึ่งสามีภรรยาคู่นี้ได้อุ้มลูกชายออกไปทุ่งนา เพื่อช่วยกันเกี่ยวข้าวให้กับคหบดีซึ่งเป็นเจ้านายของตน พอถึงทุ่งนาได้เอาผ้าผูกกับต้นเหม้าและต้นหว้า ซึ่งขึ้นอยู่ใกล้กันทำเป็นเปลให้ลูกนอน ขณะที่สองสามีภรรยากำลังเกี่ยวข้าวอยู่นั้น ปรากฏว่ามีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาก มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ ด้วยความตกใจกลัวว่าบุตรชายของตนจะได้รับอันตราย จึงร้องโวยวายจนเพื่อนชาวนาที่เกี่ยวข้าวอยู่ใกล้เคียงต่างก็รีบวิ่งมาดู แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรได้ เนื่องจากงูใหญ่ดังกล่าวพอเห็นคนเข้ามาใกล้ก็จะชูศรีษะขึ้นสูง ส่งเสียงขู่อย่างน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ สองสามีภรรยาจึงอธิษฐานขอให้เทพยดาช่วยเหลือ แล้วก็พากันไปหาดอกไม้แถวนั้นและเก็บรวงข้าวมาเผาไฟเป็นข้าวตอก จากนั้นก็นำมาบูชากราบไหว้งูใหญ่ พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้บุตรชายของตนปลอดภัย ในชั่วครู่งูใหญ่นั้นก็คลายขนดลำตัวออกจากเปลของเด็กชายปู่แล้วเลื้อยหายไปทันที สองสามีภรรยาและเพื่อนชาวนาจึงรีบพากันเข้าไปดูที่เปล ปรากฏว่าเด็กชายปู่ยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ บริเวณลำคอของเด็กชายปู่กลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งวางเอาไว้ ซึ่งเด็กชายปู่ผู้นี้ต่อมาภายหลังได้เป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศ นับตั้งแต่แผ่นดินยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาจวบจนปัจจุบันนี้ และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากสมเด็จพระเอกาทศรถทรงแต่งตั้งให้ดำรงสมณศักดิ์เป็น “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ “สมเด็จเจ้าพระโคะ” หรือ “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนั่นเอง” ส่วนดวงแก้วหรือลูกแก้วคู่บารมีที่งูตระบองสลาคายมอบให้หลวงปู่ทวดในวัยทารก ปัจจุบันลูกแก้วดังกล่าวถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดพระโคะ (วัดพระราชประดิษฐาน) 60 หมู่ 6 ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ซึ่งทางวัดพะโคะเล่าว่าบางครั้งลูกแก้วดังกล่าวก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมาเองอยู่บ่อย ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก อีกเรื่องหนึ่ง เป็นตำนานในบันทึกแนบท้ายพระราชพงศาวดารเหนือ ระบุไว้ว่าในราวปีพุทธศักราช 500 ในสมัยแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์) โดยพระนาคเสนเถระ วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ได้ปวารณาจะสร้างพระพุทธรูปสืบต่อพระพุทธศาสนาให้จรด 5000 พระพุทธศักราช แต่กังวลว่าจะหาวัสดุใดมาสร้างพระพุทธรูปนี้ เพราะหากใช้ไม้ก็จะอยู่ได้ไม่ถึง 5000 ปี หากใช้เหล็กก็อาจจะถูกนำไปหลอมละลายเมื่อมีผู้คิดทำลาย หรือหากจะใช้หินศิลาธรรมดา ก็จะดูเป็นพระพุทธรูปสามัญทั่ว ๆ ไป ในที่สุดจึงตกลงใจเลือกใช้ “แก้วมณี” มาจำหลักพระพุทธรูป เพียงแต่ยังกังวลใจว่าจะได้แก้วมณีชนิดใด ในครั้งนั้น มีมานพหนุ่ม 2 คน (ซึ่งตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นพระอินทร์ และพระวิษณุกรรมจำแลงแปลงร่างมาเป็นมนุษย์) ได้เข้าไปกราบนมัสการพระนาคเสนเถระ โดยบอกว่าตนทั้งสองเป็นพ่อค้าเดินทางผ่านมาหลายที่ และได้พบกับแก้วโลกาทิพยรัตตนายก อันมีรัตนายกดิลกเฉลิม 1,000 ดวง ลักษณะเป็นสีเขียวทึบคล้ายมรกตหรือหยกอ่อน ที่เขาวิบุลบรรพต (เวฬุบรรพต) เห็นว่าเป็นแก้วที่มีความเหมาะสมในการนำมาจำหลักพระพุทธรูป ให้สืบต่อพระพุทธศาสนาจรด 5,000 ปี จึงขอมอบแก้ววิเศษนั้นถวายแด่พระนาคเสนเถระ โดยให้มานพหนุ่มที่มาด้วยกัน (ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระวิษณุกรรมจำแลง) ทำหน้าที่จำหลักพระพุทธรูปองค์นี้ถวาย ภายหลังจากที่ได้ทำการจำหลักเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยตามประสงค์ของพระนาคเสนเถระแล้ว พระนาคเสนจึงได้บอกบุญไปยังอุบาสกอุบาสิกา เพื่อสร้างมหาวิหารขึ้นใกล้ๆกันกับวัดอโศการาม แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานไว้เหนือแท่นรัตนบัลลังก์ และปฐมฐาปนาถวายนามพระพุทธรูปนี้ว่า “พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต” หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต” นั่นเอง นอกจากนี้ในตำนานยังระบุอีกว่า ขณะที่ประดิษฐานอยู่นั้นพ่อค้าวานิชและพระมหาราชาธิราชจากประเทศต่าง ๆ ที่เดินทางมาเพื่อต้องการสักการะ ต่างพบเห็นพระแก้วมรกตเปล่งพระรัศมีออกมาสว่างจ้างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ เป็นที่น่าพิศวงยิ่งนัก |