ประวัติวัดชนะสงคราม
วัดชนะสงคราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่เหนือคลองโรงไหม ริมถนนจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ จัดเป็นวัดที่เก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานของผู้สร้าง แต่เดิมเรียกกันว่า "วัดกลางนา" ต่อมา สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นมาใหม่ โดยให้ช่างปฏิสังขรณ์สิ่งก่อสร้างภายในวัด ให้คล้ายคลึงกับสิ่งก่อสร้างสมัยกรุงศรีอยุธยาให้มากที่สุด จากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดจาก "วัดกลางนา" เปลี่ยนเป็น "วัดตองปุ" เพื่อมอบให้เป็นวัดของพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ อันเป็นเกียรติแก่ทหารชาวรามัญ ในกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสู้รบกับพม่า ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๓๓๐ ภายหลังจากที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงได้รับชัยชนะจากการทำสงครามที่นครลำปาง (ป่าซาง) แล้ว จึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดตองปุเพิ่มเติม แล้วถวายให้เป็นพระอารามหลวงชั้นโท จากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม" เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมีชัยชนะในการสู้รบกับพม่าถึง ๓ ครั้ง
มูลเหตุในการค้นพบกรุพระเครื่องพิมพ์สมเด็จ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ ทางวัดชนะสงครามได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระประธานในพระอุโบสถ , พระอัครสาวก , พระเรียง , และพระมหาสังกัจจายน์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ พร้อมทั้งให้ช่างทำการปรับพื้นที่ฐานวางพระใหม่ ในการบูรณะซ่อมแซมครั้งนี้ ใช้ระยะเวลายาวนานหลายปี เนื่องจากพระอุโบสถถูกใช้ประกอบกิจกรรมทางศาสนาอยู่เสมอ และใช้เป็นสถานที่ถวายอาหารเพลแด่พระเณรซึ่งมาศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม เป็นเหตุให้เวลาการทำงานของช่างในแต่ละวันมีน้อยและไม่ต่อเนื่อง
จนกระทั่ง ในวันอังคารที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ช่วงเวลาขณะที่พระเณรกำลังฉันเพล ช่างซึ่งรับหน้าที่ปรับแต่งพื้นที่ใต้ฐานชุกชีซึ่งประดิษฐานพระประธาน ได้มาแจ้งกับพระพี่เลี้ยงที่กำลังดูแลพระนักศึกษาในระหว่างฉันเพลว่า ได้พบพระเครื่องพิมพ์สมเด็จขนาดเล็ก ขุดติดปลายเสียมขึ้นมาจากดินใต้ฐานชุกชี บริเวณด้านหลังขององค์พระประธาน ทางวัดจึงสั่งให้ช่างค่อยๆขุดต่อไปด้วยความระมัดระวัง เมื่อช่างทำการขุดลึกลงไปได้ประมาณ ๑ ศอก ก็ได้พบพระพิมพ์สมเด็จอีกจำนวนมาก (ประมาณ ๑๐,๐๐๐ องค์) พร้อมทั้งพบโถสมัยสุโขทัย ซึ่งภายในบรรจุพระเครื่องพิมพ์พิเศษปิดทองอีกจำนวน ๓๕ องค์ โดยพระเครื่องพิมพ์สมเด็จที่ขุดพบส่วนใหญ่ มีลักษณะรวมกลุ่มติดกันเป็นก้อนๆ แต่ละก้อนจะมีพระสมเด็จเกาะติดกันอยู่ประมาณ ๕๐ - ๖๐ องค์ โดยพระสมเด็จบางองค์นั้นมีลักษณะเนื้อผุยุ่ยฟู เมื่อได้แกะพระพิมพ์ออกจากกันแล้ว พระที่เนื้อยุ่ยฟูส่วนใหญ่จะชำรุดเสียหาย ในลักษณะพิมพ์พระลอกมองไม่เห็นองค์พระ ที่สภาพสมบูรณ์จริงๆนั้น มีเหลืออยู่เพียงส่วนน้อย (ประมาณ ๕,๒๕๐ กว่าองค์) และมักจะมีคราบกรุสีคล้ายเนยเหลวฉาบอยู่บนผิวพระ บ้างก็มีลักษณะเป็นเม็ดผดและตุ่มไขแต่แข็ง มีทั้งสีขาวและสีเหลือง กระจายกันอยู่ทั่วไปตามพื้นผิวของพระบริเวณชั้นนอก จำนวน และ แบบพิมพ์ของพระสมเด็จกรุวัดชนะสงคราม
ภายหลังจากที่ทางวัด ซึ่งนำโดยพระมหาประชุม (ป.ธ.๘) ตำแหน่งเลขาธิการเจ้าอาวาสขณะนั้น ได้ทำการคัดแยกพระสมเด็จซึ่งมีสภาพดี ออกจากพระที่ชำรุดเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พบว่า ได้พระสมเด็จซึ่งมีสภาพสมบูรณ์จำนวนทั้งสิ้น ประมาณ ๕,๒๕๐ กว่าองค์ สามารถจำแนกแบบพิมพ์พระสมเด็จที่ขุดพบได้ทั้งหมดจำนวน ๘ พิมพ์ใหญ่ ๆ ดังนี้
โดยพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ฐานสามชั้น , พระสมเด็จพิมพ์เล็กฐานสามชั้น , พระสมเด็จอรหังพิมพ์เกศชนซุ้ม , และพระสมเด็จพิมพ์ฐานแซม ทั้ง ๔ พิมพ์นี้ มีจำนวนนับรวมกันได้ทั้งสิ้นประมาณ ๔,๐๐๐ กว่าองค์ ส่วนพระสมเด็จพิมพ์คะแนน (พิเศษ) ฐานสามชั้น , และพระสมเด็จพิมพ์คะแนน (พิเศษ) ฐานห้าชั้น มีจำนวนรวมกันทั้งสิ้นประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ สำหรับพระสมเด็จพิมพ์จิ๋ว (พิเศษ) ฐานห้าชั้น มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๒๐๐ กว่าองค์ นอกจากนี้ ยังมีพระสมเด็จพิมพ์คะแนน (พิเศษ) ทั้งฐานสามชั้นและฐานห้าชั้น ซึ่งปิดทองเดิมมาจากในกรุ แล้วนำมาบรรจุไว้ในโถสมัยสุโขทัยอีกจำนวน ๓๕ องค์ ส่วนพระสมเด็จพิมพ์นางพญา (พิมพ์พิเศษ) นั้นไม่ทราบจำนวนการสร้างที่ชัดเจน เนื่องจากพบในจำนวนที่น้อยมากเพียงไม่กี่องค์เท่านั้น โดยยอดรวมของพระสมเด็จทั้ง ๘ พิมพ์รวมกัน จึงมีจำนวนเบ็ดเสร็จทั้งสิ้นประมาณ ๕,๒๕๐ กว่าองค์
เมื่อทางวัดได้ทำการคัดแยกพระสมเด็จกรุนี้เสร็จสิ้นแล้ว สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ซึ่งช่วงเวลาขณะนั้น ท่านได้ครองสมศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ (ท่านเจ้าคุณพระเทพโสภณ) ได้สั่งการให้นำพระสมเด็จที่ขุดได้จากกรุนี้ ไปแจกให้กับผู้ที่มาฟังเทศน์มหาชาติประจำปีที่วัดชนะสงคราม ในวันศุกร์ที่ ๑ และวันเสาร์ที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๕ จำนวนคนละ ๑ องค์ หลังจากเสร็จสิ้นวันงานเทศน์มหาชาติประจำปี ทางวัดชนะสงคราม ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เช่าบูชาพระสมเด็จกรุนี้ พร้อมทั้งทางวัดได้ออกใบอนุโมทนาบุญ ให้กับประชาชนที่มาทำบุญเช่าพระสมเด็จในคราวนั้นด้วย
ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพระเครื่องพิมพ์สมเด็จ ซึ่งถูกขุดค้นพบจากกรุฐานชุกชีใต้องค์พระประธานในพระอุโบสถวัดชนะสงคราม ถูกสร้างขึ้นเมื่อใดและใครเป็นผู้ที่สร้างแล้วนำมาบรรจุไว้ มีเพียงแต่ข้อสัณนิษฐาน จากผู้เชี่ยวชาญด้านพระเครื่องหลายท่าน ต่างลงความเห็นตรงกัน โดยพิจารณาจากองค์ประกอบของเนื้อพระ แบบพิมพ์ที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งธรรมชาติของคราบกรุ ซึ่งน่าจะมีอายุความเก่าที่มากกว่าพระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง และพระเครื่องสมเด็จวัดบางขุนพรหม จึงสัณนิษฐานกันว่า พระเครื่องพิมพ์สมเด็จกรุวัดชนะสงครามนี้ น่าจะถูกสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๓๖๐ หรืออาจจะก่อนหน้านั้น ซึ่งตรงกับยุคสมัยของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน. พระสมเด็จกรุวัดชนะสงครามของปลอม
ในช่วงปลายปี พ.ศ.2552 พบว่า เริ่มมีการทำปลอมแปลงพระสมเด็จกรุวัดชนะสงคราม โดยเฉพาะพระพิมพ์สมเด็จอรหัง (เกศชนซุ้ม) ออกมาสู่สนามพระบางแห่งแล้ว และสามารถทำปลอมออกมาได้ดี ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับพระสมเด็จฯซึ่งเป็นของแท้อย่างมาก โดยผู้ที่ทำการปลอมแปลงพระ ได้นำเอาพระพิมพ์สมเด็จอรหัง (เกศชนซุ้ม) ซึ่งเป็นพระของแท้ มากดทำเป็นแม่พิมพ์ ด้วยเหตุนี้พิมพ์ทรงและตำหนิทุกอย่าง จึงตรงกันกับพระพิมพ์สมเด็จอรหัง (เกศชนซุ้ม) ที่เป็นพระของแท้ทุกประการ เพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยทางด้านขอบพิมพ์ด้านข้างของพระปลอมทุกองค์ จะปรากฏให้เห็นเป็นลักษณะพระขอบพิมพ์เกินเล็กน้อย หรือพระขอบพิมพ์เขยื้อน (ซึ่งเกิดจากการนำพระแท้มากดทำเป็นแม่พิมพ์นั่นเอง) และรายละเอียดของเนื้อหามวลสารบนพื้นผิวพระชั้นนอก ก็ยังทำปลอมออกมาได้ไม่เหมือนซะทีเดียวนัก กล่าวคือ พระที่เป็นของปลอมทุกองค์ เนื้อพระจะมีลักษณะยุ่ยฟูเกินจริง คล้ายกับเนื้อหาของพระสมเด็จวัดเกศไชโยรุ่นประวัติศาสตร์ พ.ศ.2531 อีกทั้งพื้นผิวของพระปลอมจะแลดูสะอาดมาก เป็นสีขาวตุ่นๆเหมือนดินสอพอง คราบกรุสักนิดก็ไม่มีให้เห็น คล้ายกับพระสมเด็จฯที่สร้างขึ้นใหม่ทั่วๆไป ซึ่งไม่ได้ผ่านการบรรจุกรุ
นอกจากนี้ในพระปลอมบางองค์ ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ยังได้มีการทำคราบกรุปลอม ไว้ที่ชั้นนอกบนพื้นผิวพระประกอบด้วยเพื่อให้ดูสมจริง โดยคราบกรุปลอมที่ถูกทำขึ้นมาส่วนใหญ่ จะมีลักษณะเป็นเหมือนคราบรอยเปื้อนเรียบๆธรรมดา ต่างจากคราบกรุพระของแท้ ซึ่งมีลักษณะฉาบเคลือบอยู่บริเวณผิวพระชั้นนอก และในพระแท้บางองค์ บริเวณพื้นผิวพระจะมีลักษณะขรุขระคล้ายเม็ดผดขนาดเล็ก ปูดนูนจากข้างในออกสู่ข้างนอกทั่วองค์พระ (ลักษณะคล้ายๆกับคราบกรุของพระสมเด็จบางขุนพรหม กรุเจดีย์เล็ก) อีกทั้งยังมีตุ่มไขคล้ายเนยเหลว ซึ่งมีทั้งสีขาวและสีเหลืองแต่แข็งมาก เกาะติดอยู่ตามพื้นผิวพระมากบ้างน้อยบ้าง ตุ่มเล็กบ้างตุ่มใหญ่บ้าง กระจายปะปนกันอยู่บนพื้นผิวพระชั้นนอกประกอบกันไปด้วย โดยรวมหากนำพระแท้ และ พระปลอมมาเปรียบเทียบกัน ก็จะเห็นถึงความแตกต่างระหว่างคราบกรุ ว่ามีความแตกต่างและห่างไกลกันอยู่มาก แต่เพื่อความปลอดภัยสำหรับท่านที่มีความสนใจ หรือกำลังแสวงหาพระพิมพ์สมเด็จอรหัง (เกศชนซุ้ม) ของกรุวัดนี้ จึงสมควรมีสติระมัดระวัง และพิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบในทุกมิติ ทั้งองค์ประกอบทางด้านขอบพิมพ์ ลักษณะของคราบกรุ ตลอดจนธรรมชาติของพระกรุนี้ให้แม่นยำ ก่อนที่จะทำการตัดสินใจเช่าบูชาในแต่ละครั้ง หรือหากท่านใดมีข้อสงสัย ต้องการจะปรึกษากับผู้เขียนเพิ่มเติม เกี่ยวกับพระสมเด็จ กรุวัดชนะสงคราม กทม. สามารถส่งข้อความสอบถามมาได้ที่ Line Id : tustk ผู้เขียนพร้อมให้คำปรึกษาแนะนำต่อทุกท่านด้วยความยินดี.
เนื่องจาก มีผู้ที่ชื่นชอบและศรัทธาในพระกรุเนื้อผงหลายท่าน เกิดความสงสัยข้องใจเกี่ยวกับพระสมเด็จกรุวัดชนะสงคราม ซึ่งขุดค้นพบจากใต้ฐานชุกชีพระประธานในพระอุโบสถวัดชนะสงครามเมื่อปี พ.ศ.2515 จึงได้ติดต่อสอบถามเข้ามาว่า
ถาม : "....พระสมเด็จดังกล่าว เป็นพระกรุเก่าอายุเกือบ 200 ปีของวัดชนะสงคราม กทม.จริง หรือเป็นพระสมเด็จยุคใหม่อายุไม่เกิน 50 ปี ที่ทางวัดป่าเรไร ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี เป็นผู้สร้างขึ้นกันแน่ ???... "
ตอบ : จากบันทึกข้อมูลเอกสารที่ทางคณะสงฆ์วัดชนะสงครามได้จัดพิมพ์หนังสือขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 เพื่อแจกให้กับพระภิกษุ สามเณร และประชาชน (ตามรูป)
ในบันทึกดังกล่าว ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2515 ภายหลังจากเสร็จสิ้นงานเทศน์มหาชาติประจำปีไปหมาดๆ และได้มีการแจกพระสมเด็จกรุวัดชนะสงครามให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ไปบ้างแล้วบางส่วน (ตามรูป)
ผู้เขียนขอพักเรื่องซึ่งเกิดขึ้นที่วัดชนะสงครามในคืนวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2515 ไว้ชั่วคราวก่อนและจะกลับมากล่าวถึงอีกครั้งในตอนท้าย
ลองมาดูข้อมูลทางด้านวัดป่าเรไร ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี กันบ้าง....จากข้อมูลทั่วไป วัดป่าเรไรเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกลายสภาพเป็นวัดร้างมาตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาไปในคราวนั้น ต่อมาในราววันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2515 หรือก่อนหน้านั้น พระอธิการหอมหวล นาคศิริ (คนฺธสิริ) ได้เดินทางมาบูรณะวัดป่าเรไรซึ่งอยู่ในสภาพวัดร้าง และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้จนถึงปีพ.ศ.2521 จีงได้มรณภาพลง......พระอธิการหอมหวล นาคศิริ (คนฺธสิริ) เป็นใคร? มาจากไหน?....พระอธิการหอมหวล นาคศิริ (คนฺธสิริ) เดิมท่านเป็นพระสงฆ์ในสังกัดวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (หรือวัดโพธิ์ ท่าเตียน กทม.) เพราะท่านได้เข้ารับการอุปสมบทอยู่ที่วัดนี้ รายละเอียดตามรูปและ Link ด้านล่าง
1. วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2515 = วัดป่าเรไร ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี ได้ยกฐานะจากวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษา โดยมีพระอธิการหอมหวล นาคศิริ (คนฺธสิริ) เป็นเจ้าอาวาสพระอธิการรูปแรกของวัด ระหว่างนั้นท่านยังคงติดต่อกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กทม. อย่างสม่ำเสมอ (วัดป่าเรไร ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2523 ภายหลังจากที่พระอธิการหอมหวล นาคศิริ (คนฺธสิริ) ได้มรณภาพลงแล้ว)
2. วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2515 = เปิดกรุพระสมเด็จใต้ฐานชุกชีพระประธานในพระอุโบสถวัดชนะสงคราม (คนที่มาทำบุญเลี้ยงเพลพระเณร และ กลุ่มคนงาน ได้หยิบพระไปบางส่วน)
3. วันที่ 1-2 กันยายน พ.ศ.2515 = วันงานเทศน์มหาชาติประจำปี (นำพระบางส่วนออกแจกประชาชนที่มาฟังเทศน์ที่วัดชนะสงคราม)
4. วันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2515 = เวลา 21.00 น. ( 3 ทุ่ม ) ท่านพระครูสุนทรโฆษิต (แจ่ม) วัดพระเชตุพนฯ กทม.(วัดโพธิ์ ท่าเตียน) และคณะผู้ติดตามซึ่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส มาเข้าพบพระธรรมปิฏก (นิยม ฐานิสฺสโร) ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามในขณะนั้น *** สันนิษฐานว่า พระอธิการหอมหวล นาคศิริ (คนฺธสิริ) น่าจะเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่ร่วมมากับคณะผู้ติดตามท่านพระครูสุนทรโฆษิต (แจ่ม) ในคืนวันนั้น และน่าจะได้รับแจกพระสมเด็จกรุวัดชนะสงครามกลับไปบางส่วนอีกด้วย ***
จากข้อมูลเชิงลึกของคนเก่าแก่ในพื้นที่ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ได้เล่าว่า ในช่วงเวลาก่อนที่จะมีการแจกพระสมเด็จกรุวัดชนะสงครามที่วัดป่าเรไรประมาณ 1 เดือน เวลาบ่ายแก่ๆวันหนึ่ง มีรถแท๊กซี่ขับมาจอดบริเวณหอนาฬิกาตรงท่าน้ำทางลงเรือข้ามฟากจังหวัดนนทบุรี และได้เห็นพระอธิการหอมหวลพร้อมด้วยลูกศิษย์ซึ่งเป็นฆราวาสเดินลงมาจากรถแท๊กซี่ ในมือได้ถือลังกระดาษสำหรับใส่สุรายี่ห้อแม่โขงมาประมาณ 2 - 3 ลัง ถือลงเรือข้ามฟากไปอย่างทุลักทุเล โดยไม่มีใครรู้ว่าในลังกระดาษนั้นมีอะไร แต่พอจะคาดเดาได้ว่าต้องเป็นสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก
ต่อมา ที่วัดป่าเรไรเริ่มมีประชาชนเดินทางมาร่วมทำบุญบริจาคทุนทรัพย์พัฒนาวัด ท่านพระอธิการหอมหวลจึงได้ทยอยนำพระเครื่องพิมพ์สมเด็จออกมาแจกให้กับญาติโยม แต่พระเครื่องที่ท่านแจกไม่มีความสวยงามเลย เป็นเพียงพระเขลอะๆ บางคนสงสัยจึงถามท่านว่าเป็นพระอะไร ท่านก็ตอบว่าเป็นพระดีให้เอาเก็บไว้บูชาดีๆ (บอกแค่นั้นแล้วก็ไม่พูดอะไร) ส่วนประชาชนที่ได้รับพระแจก มีทั้งกลุ่มที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง (กลุ่มหนึ่ง) กลุ่มที่เป็นผู้ที่นิยมสะสมพระเครื่อง (กลุ่มหนึ่ง) กลุ่มที่เป็นเซียนพระ (กลุ่มหนึ่ง) และกลุ่มที่เป็นผีสนาม (อีกกลุ่มหนึ่ง)
นิยามศัพท์ : "ผีสนาม" หมายถึง คนที่ค้าขายพระเครื่อง แต่ดูพระแท้ - ปลอมไม่ขาด แล้วชอบมโนไปว่าตนเองนั้นเป็นเซียนพระ รู้มากรู้มายรู้หมื่นรู้แสน จากนั้นก็เอาพระปลอมไปหลอกขายให้กับผู้อื่น.
คนกลุ่มแรกที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง พอกลับถึงบ้านก็เอาพระวางไว้บนหิ้งแล้วก็จบกันไป ให้พระเครื่องมาก็รับหรือจะไม่ให้ก็ไม่ว่าอะไร ใจคิดแต่จะทำบุญอย่างเดียว คนกลุ่มนี้ผู้เขียนขอผ่านไม่กล่าวถึง
ส่วนคนกลุ่มที่สอง คนกลุ่มที่สาม และคนกลุ่มที่สี่นี้น่าสนใจ เพราะปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากคนสามกลุ่มนี้ หลังจากได้รับแจกพระสมเด็จจากท่านพระอธิการหอมหวล นาคศิริ (คนฺธสิริ) คน 3 กลุ่มนี้ก็ได้แวะเวียนมาจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพระเครื่องที่ได้รับแจกกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านกาแฟนี้อยู่ในตลาดฝั่งหอนาฬิกาท่าน้ำนนท์ (แค่นี้พอ หากเขียนมากกว่านี้จะรู้ทันทีว่าร้านไหน) บ้างก็วิจารณ์ว่าเป็นพระกรุอายุเป็นร้อยๆปี ที่พระอธิการหอมหวลขุดได้จากวัดป่าเรไรตอนที่ยังเป็นวัดร้าง เพราะมีคราบฝุ่นดินติดอยู่บางๆในพระบางองค์ บ้างก็บอกว่าไม่ใช่ เป็นพระเครื่องที่พระอธิการหอมหวลสร้างขึ้นเอง แล้วเอาไปแช่น้ำมนต์แบบพระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ต่างฝ่ายต่างมโนภาพทุ่มเถียงกันไปมาอย่างเมามัน แล้วก็จบลงตรงหาบทสรุปไม่ได้
เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นแบบนี้อยู่พักหนึ่ง แล้วก็เงียบกันไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง คนกลุ่มที่เป็นเซียนพระและคนกลุ่มที่เป็นผีสนามก็เลิกสนใจ ย้ายไปเพลิดเพลินกับพระเครื่องอย่างอื่นซึ่งกำลังมาแรงในช่วงปี พ.ศ.2515 แทน ส่วนคนกลุ่มที่เป็นนักสะสมพระเครื่องไม่ยอมจบ ยังคงตามสืบแกะรอยหาเบาะแสที่มาที่ไปของพระสมเด็จอย่างเงียบๆต่อไป จนบางคนเริ่มรู้ระแคะระคายว่าความจริงเป็นพระของที่ไหน ก็ดำเนินการซุ่มเก็บแบบเงียบๆไม่กะโตกกะตากกลัวไก่ตื่น ทั้งขอ ทั้งแลก ทั้งตามซื้อ ไปเรื่อยแล้วแต่โอกาสจะอำนวย
ผู้เขียนได้ศึกษาและสะสมพระเครื่องมานานกว่า 30 ปี พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง และจากการสืบค้นทำให้รู้ความจริงเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 แล้วว่า พระสมเด็จที่พระอธิการหอมหวลนำออกมาแจกในปี พ.ศ.2515 นั้น ความจริงเป็นพระสมเด็จที่เพิ่งจะแตกกรุซึ่งท่านนำมาจากวัดชนะสงคราม ไม่ใช่พระเครื่องสร้างใหม่แช่น้ำมนต์ตามที่คนบางกลุ่มเพ้อกันไปเอง และยังมีพระสมเด็จบางส่วนที่เหลือจากการแจกในตอนนั้น ท่านพระอธิการหอมหวลได้นำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์เก่าภายในวัดป่าเรไร ต่อมาภายหลังจากที่ท่านพระอธิการหอมหวลได้มรณะภาพลงแล้ว ในช่วงเวลาที่ทางวัดป่าเรไรได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา (เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2523) ทางวัดก็ได้มีการนำพระเครื่องออกมาจากพระเจดีย์ เพื่อนำมาแจกให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญพัฒนาวัดอีกครั้ง จนพระเครื่องนั้นได้หมดไปจากวัด.
|