วัดพระยาสุเรนทร์ ตั้งอยู่หมู่ 8 ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ผู้สร้างวัดพระยาสุเรนทร์ คือ เจ้าพระยาสุเรนทร์ราชเสนา (พึ่ง สิงหเสนี) รับราชการทหารในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อท่านได้รับการแต่งตั้งเป็น “พระยา” ถือศักดินา 4,000 ไร่ จึงออกไปจับจองที่ดินตามศักดินา แล้วปลูกบ้านอยู่บริเวณบ้านฉาง (ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดประมาณ 10 เส้น) โดยเว้นที่ซึ่งเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 48 ไร่ เอาไว้ ต่อมาท่านได้สร้างวัดขึ้น ณ บริเวณริมบึงน้ำดังกล่าว และทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2425 (ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ร.ศ.101) เมื่อสร้างวัดแล้วเสร็จจึงได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลถวายเป็นพระราชกุศล แด่องค์สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันพุธ แรม 9 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ.2431 วัดที่ท่านพระยาสุเรนทร์ได้สร้างขึ้นนี้ ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกกันว่า “วัดบึงพระยาสุเรนทร์” เหตุเพราะเป็นวัดที่สร้างอยู่ข้างบึงน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันบึงน้ำดังกล่าวได้ถูกดินถมทับไปจนหมดแล้ว
ในบั้นปลายชีวิตของเจ้าพระยาสุเรนทร์ ท่านได้บวชเณรอยู่ที่วัดบึงพระยาสุเรนทร์ซึ่งท่านเป็นผู้สร้างและอุปถัมภ์มาโดยตลอด (เหตุที่ท่านไม่อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ เนื่องจากท่านมีโรคริดสีดวงเป็นโรคประจำตัว จึงไม่สามารถอุปสมบทได้) ในระหว่างที่ท่านพระยาสุเรนทร์ได้บวชเณรอยู่นั้น ท่านได้สร้างพระพิมพ์โดยดำเนินการทุกอย่างด้วยตนเอง ตั้งแต่ปลุกเสกน้ำมันมนต์วิเศษ (ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากเจ้าพระยาบดินทรเดชาซึ่งเป็นปู่ของท่าน) รวมทั้งเก็บรวบรวมผงวิเศษและว่านศักดิ์สิทธิ์นานาชนิด ตลอดจนแกะแม่พิมพ์พระด้วยงาช้าง , ผสมผงกดพิมพ์พระ แล้วทำการปลุกเสก จากนั้นท่านได้นำพระเครื่องทั้งหมดไปบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ ซึ่งท่านได้สร้างไว้บริเวณริมบึงน้ำข้างวัดนั่นเอง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2485 ซึ่งพระอาจารย์กร่ำ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบึงพระยาสุเรนทร์ในขณะนั้น พระเจดีย์ริมบึงซึ่งท่านเจ้าพระยาสุเรนทร์ได้บรรจุพระเครื่องไว้ เกิดชำรุดล้มเอียงเนื่องจากพื้นดินริมบึงได้ทรุดตัวลง ทำให้พระเครื่องกระจัดกระจายแตกกรุออกมาเป็นครั้งแรก โยมชุ่ม สิงหเสนี จึงได้นำพระเครื่องที่แตกกรุออกมานี้ ไปมอบให้กับจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยได้เข้าร่วมในสงครามอินโดจีน เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารเป็นจำนวน 3 ถุงใหญ่ ๆ ประมาณหลายพันองค์ ปรากฏว่าทหารที่ได้รับแจกพระเครื่องกรุวัดบึงพระยาสุเรนทร์ แล้วนำพระติดตัวไปปฏิบัติภารกิจร่วมรบในสงครามอินโดจีน ต่างประสบกับปาฏิหารย์ในลักษณะที่ตรงกันคือ ถูกยิงถูกแทงหรือถูกสะเก็ดระเบิด แต่ไม่มีบาดแผลหรือได้รับอันตรายแต่ประการใด เมื่อข่าวเกี่ยวกับปาฏิหารย์ของพระเครื่องกรุวัดบึงพระยาสุเรนทร์ได้แพร่หลายออกไป ทำให้ประชาชนต่างหลั่งไหลมาขอพระเครื่องที่วัด จนพระเครื่องได้หมดไปจากวัดในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนทางด้านวงการพระเครื่องสมัยนั้น ต่างแสวงหาพระกรุวัดบึงพระยาสุเรนทร์กันมาก จึงทำให้พระมีราคาเช่าบูชาที่ค่อนข้างสูง ในวงการพระเครื่องเรียกพระกรุนี้ว่า “พระกรุเก่าริมบึง”
ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 ทางวัดบึงพระยาสุเรนทร์ (ซึ่งขณะนั้นได้มีการถมดินบึงใหญ่ข้างวัดจนหมดสิ้นแล้ว และได้เปลี่ยนชื่อวัดโดยตัดคำว่า “บึง” ออกไป เป็นวัดพระยาสุเรนทร์) ได้ทำการเปิดกรุพระเครื่องอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง โดยพระกรุนี้พบที่ใต้ฐานชุกชีพระประธานในพระอุโบสถ ทางวัดได้นำพระออกให้ประชาชนได้ทำบุญเช่าบูชาองค์ละ 500 บาท แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากวงการพระเครื่องในสมัยนั้นเท่าใดนัก เนื่องจากพระกรุเจดีย์เก่าริมบึงและพระกรุใหม่ใต้ฐานชุกชีมีความแตกต่างกันด้านองค์ประกอบอยู่หลายประการ จึงทำให้วงการพระเครื่องให้ความนิยมเฉพาะพระกรุเก่าเท่านั้น
ลักษณะของพระผงกรุวัดบึงพระยาสุเรนทร์
|